เมนู

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ 10


1. ปริปุณณกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปริปุณณกเถระ


[228] ได้ยินว่า พระปริปุณณกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
สุธาโภชน์ มีรสตั้งร้อยที่เราบริโภคในวันนี้
ก็ไม่เหมือนอมตธรรมที่เราได้บริโภค พระธรรมอัน
พระพุทธเจ้าผู้โคตมโคตร ทรงเห็นซึ่งธรรมหา
ประมาณมิได้ ทรงแสดงไว้แล้ว.

วรรควรรณนาที่ 10


อรรถกถาปริปุณณกเถรคาถา


คาถาของท่านพระปริปุณณกเถระ เริ่มต้นว่า น ตถา มตํ สตรสํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่า ธรรมทัสสี บรรลุถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน
แล้ว ได้ทำการบูชาอย่างมโหฬาร ด้วยเครื่องสักการะไรดอกไม้เป็นต้น ที่เจดีย์
ของพระศาสดา.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในหมู่เทพทั้งหลาย กระทำบุญแล้ว
ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่แต่ในสุคติภพอย่างเดียว เกิดในตระกูลแห่งเจ้าศากยะ
ในพระนครกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว ปรากฏนาม
ว่า ปริปุณณกะ เพราะความเป็นผู้มีสมบัติบริบูรณ์.
เขาบริโภคอาหาร ชื่อว่า สตรส ตลอดกาลทั้งปวง เพราะเป็นผู้
สมบูรณ์ด้วยสมบัติ สดับข่าวว่า พระบรมศาสดาทรงเสวยพระกระยาหารที่
ระคนกัน เกิดความสลดใจในสงสารว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เป็นกษัตริย์
สุขุมาลชาติ ทรงเพ่งเล็งถึงความสุขในพระนิพพาน ทรงยังอัตภาพให้เป็นไป
(ด้วยพระกระยาหาร) ตามมีตามได้ก่อน เพราะเหตุไร พวกเราจึงพากัน
ละโมบในอาหาร จักต้องเป็นผู้มีอาหารที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยเล่า สมควรที่พวก
เราพึงแสวงหาความสุขคือนิพพานอย่างเดียว ดังนี้ ละฆรวาสวิสัย แล้วบวช
ในสำนักของพระศาสดา อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำในกายคตาสติ
กรรมฐาน ดำรงอยู่ในกายคตาสติกรรมฐานนั้น การทำฌานที่ได้แล้วให้เป็น
บาท กระทำกรรมในวิปัสสนา แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐาน บรรลุพระอรหัต
แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลก ทรงพระนาม
ว่า ธรรมทัสสี ผู้ประเสริฐกว่านระ ปรินิพพานแล้ว
เราได้ยกเสาธงขึ้นไว้ ที่เจดีย์ของพระพุทธองค์ผู้
ประเสริฐที่สุด ได้ให้ช่างสร้างบันไดสำหรับประ-
ชาชน จะได้ขึ้นสู่พระสถูปอันประเสริฐ แล้วถือเอา
ดอกมะลิไปโปรยบูชาที่พระสถูป พระพุทธเจ้าน่า
อัศจรรย์หนอ พระธรรมน่าอัศจรรย์หนอ ความถึง

พร้อมแห่งพระศาสดา น่าอัศจรรย์หนอ เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป ในกัปที่ 94
แต่ภัทรกัปนี้ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช 16 พระองค์
พระนามว่า " ถูปสิขะ " มีพลมาก. เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำ
สำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะเปล่งอุทานที่เปล่งออก
ด้วยกำลังแห่งปีติ โดยมีความเคารพและความนับถืออย่างมากในพระธรรม
ได้กล่าวคาถาว่า
สุธาโภชน์ มีรสตั้งร้อยที่เราบริโภคในวันนี้ ก็
ไม่เหมือนอมตธรรมที่เราได้บริโภค พระธรรมที่พระ-
พุทธเจ้าผู้โคตมโคตร ทรงเห็นซึ่งธรรมทาประมาณ
มิได้ ทรงแสดงไว้แล้ว
ดังนี้.
บทว่า สตรสํ ได้แก่ โภชนะมีรสตั้ง 100. บางอาจารย์กล่าวว่า
โภชนะที่เขาจัดปรุง ด้วยเนยใสที่หุงแล้วตั้ง 100 ครั้งเป็นต้น ชื่อว่า สตรส-
โภชนะ โภชนะที่มีรสตั้ง 100. อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า สต มีอรรถเป็นอเนก
ดังในประโยคมีอาทิว่า สตโส สหสฺสโส. เพราะเหตุนั้น โภชนะใดมีสูปะ
เป็นอเนก มีโภชนะเป็นอเนก โภชนะนั้น ท่านเรียกว่า สตรส เพราะมีรส
มิใช่น้อย. อธิบายว่า ได้แก่โภชนะที่มีรสต่าง ๆ กัน. ข้าวที่สะอาดนั่นเอง
เรียกว่า สุธาโภชน์ ชื่อว่าเป็นอาหารของเทวดาทั้งหลาย.
บทว่า ยํ มยชฺช ปริภุตฺตํ ความว่า สุธาโภชน์ที่มีรสตั้ง 100 ใด
อันเราบริโภคแล้วในวันนี้. ก็บทว่า ยํ มยา ปริภุตฺตํ นี้ พึงประกอบเข้า
แม้ในบทว่า สตรสํ สุธนฺนํ นี้ด้วย. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า

ก็นิพพานสุขใด อันสงบประณีตล่วงส่วนทีเดียว อันเราเสวยอยู่ใน
วันนี้ คือในบัดนี้ ด้วยสามารถแห่งการเข้านิโรธสมาบัติ นิพพานสุขนั้น อัน
เรารู้แล้ว คือกำหนดแล้ว ได้แก่อบรมดีแล้ว ฉันใด โภชนะมีรสตั้ง 100
อันเราบริโภคแล้ว ในเวลาครองราชย์ก็ดี และสุธาโภชน์ที่เราบริโภคแล้ว
ในอัตภาพของเทวดาก็ดี ก็ฉันนั้น ประมาณไม่ได้ คือกำหนดไม่ได้. เพราะ
เหตุไร เพราะนิพพานสุขนี้ อันพระอริยเจ้าทั้งหลายเสพแล้ว ไม่เป็นที่ตั้ง
แห่งกิเลสทั้งหลาย แต่โภชนะมีรสตั้งร้อยนั้น อันปุถุชนเสพแล้ว เป็นไปกับ
ด้วยอามิส (และ) เป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย โภชนะที่มีรสตั้งร้อย จึงไม่เข้า
ถึงการนับ คือไม่ถึงเสี้ยว ได้แก่ไม่เข้าถึงส่วนแห่งเสี้ยวของนิพพานสุขนั้น.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงธรรมที่ท่านกล่าวว่า สุธาโภชน์ที่มีรสตั้งร้อย ที่เรา
บริโภคในวันนี้ ดังนี้ จึงกล่าวว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้โคตมโคตร
ทรงเห็นซึ่งประมาณมิได้ ทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้.
ความของคาถานั้น ประกอบสัมพันธ์ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เห็นพระนิพพาน อันหาประมาณมิได้ กำหนดไม่ได้ ชื่อว่าสงบแล้ว เพราะ
ไม่มีความเกิดขึ้นและความสิ้นไป เป็นอสังขตธาตุ ด้วยพระสยัมภูญาณ คือ
ทรงเห็นซึ่งไญยธรรม อันหาประมาณมิได้ คือมีประมาณหาที่สุดมิได้ เพราะ
เหตุนั้น ธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โคตมโคตร ผู้มีปกติเห็นธรรมอัน
หาประมาณมิได้พระองค์นั้น ทรงแสดงแล้วด้วยดี โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเป็น
ที่สิ้นไป เป็นที่สำรอกกิเลส ไม่ตาย ประณีต ดังนี้บ้าง ว่า ทำให้สร่างเมา
กำจัดความระหาย ดังนี้บ้าง ว่าเป็นที่เข้าไปสงบแห่งสังขารทั้งปวง ดังนี้บ้าง
พระนิพพาน (นั้น ) อันเราเสวยแล้วในวันนี้.
จบอรรถกถาปริปุณณกเถรคาถา

2. วิชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิชยเถระ


[229] ได้ยินว่า พระวิชยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ผู้ได้มีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ติดอยู่ในอาหาร มี
สุญญตวิโมกข์ และอนิมิตตวิโมกข์ เป็นโคจร รอยเท้า
ของผู้นั้นรู้ได้ยาก เหมือนรอยเท้าของฝูงนกในอากาศ
ฉะนั้น.

อรรถกถาวิชยเถรคาถา


คาถาของท่านพระวิชยเถระ เริ่มต้นว่า ยสฺสาสวา ปริกฺขีณา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เกิดในตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า ปิยทัสสี บรรลุถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน
แล้ว ให้ช่างกระทำไพที (แท่นที่วางเครื่องสักการะ) อันขจิตด้วยรัตนะ สำหรับ
พระสถูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปิยทัสสี แล้วให้ทำการฉลอง
ไพทีอย่างโอฬาร ที่พระสถูปนั้น.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี ใน
หลายร้อยอัตภาพ. เมื่อเขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้